บาร์ซา บุกเชือด เบติส สุดระทึก 3-2 ขยับขึ้นรั้งรองฝูง

บาร์เซโลนา คว้าชัยชนะเหนือ เรอัล เบติส ได้หวุดหวิด 3-2 กลับขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูง ตามหลังแอตเลติโก้ มาดริด 7 คะแนน
การแข่งขันฟุตบอล ลา ลีกา สเปน ฤดูกาล 2020-21 ระกว่าง เรอัล เบติส อันดับ 7 ของตาราง เปิดสนาม เอสตาดิโอ เบนิโต บียามาริน รับการมาเยือนของ “เจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลนา” อันดับ 4 ของตาราง

มานูเอล เปเญกรินี กุนซือเจ้าบ้าน เลือกจัดทัพ ASIAX8 มาในระบบ 4-2-3-1 ใช้หน้าเป้าเป็น บอร์ฆา อิเกลเซียส ประสานงานในแนวรุกร่วมกับ ไอตอร์ รุยบัล, นาบิล เฟคีร์ และ ฆวนมี

ด้านทีมเยือนของ โรนัลด์ คูมัน วางหมากมาในแผน 4-3-3 ใช้สามแนวรุกเป็น อุสมาน เดมเบเล, อองตวน กรีซมันน์ และ มาร์ติน เบรธเวต ขณะที่ ลิโอเนล เมสซี มีชื่อเป็นตัวสำรอง

ผลปรากฎว่า ครึ่งแรก ถึงนาทีที่ 38 เรอัล เบติส ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ เอเมอร์สัน พาบอลขึ้นมาทางขวาก่อนเปิดบอลเข้าเขตโทษ และเป็น บอร์ฆา อิเกิลเซียส ซัดเข้าไปตุงตาข่าย ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง นาทีที่ 59 บาร์เซโลนา ตีเสมอเป็น 1-1 จากจังหวะที่ อุสมาน เดมเบเล หลอกล่อนักเตะเจ้าถิ่นอยู่ริมเส้นฝั่งขวาก่อนหาจังหวะจ่ายเข้าเขตโทษให้ ลิโอเนล เมสซี ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง กดด้วยซ้ายเต็มข้อ บอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปเลย

จากนั้นนาทีที่ 68 บาร์เซโลนา ขึ้นนำ 2-1 เมื่อ ลิโอเนล เมสซี จ่ายบอลทะลุเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายให้ ฆอร์ดี อัลบา เปิดบอลเข้ากลาง อองตวน กรีซมันน์ ยิงโดนไม่เต็มแต่บอลมาโดน วิคเตอร์ รุยซ์ กองหลังของเบติส ทำเข้าประตูตัวเองไป

ถัดมา 7 นาที เบติส ตีเสมอเป็น 2-2 จากจังหวะที่ นาบิล เฟกีร์ เปิดฟรีคิกจากฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษ และเป็น วิคเตอร์ รุยซ์ โหม่งเข้าไป แก้ตัวได้สำเร็จ

ถึงนาทีที่ 87 บาร์เซโลนา ขึ้นนำ 3-2 เมื่อ ตรินเกา ปั่นด้วยว้ายในเขตโทษ บอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยงาม

จากนั้นไม่มีประตูเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีก ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นบาร์เซโลนาเฉือนชนะหวุดหวิด 3-2 เก็บเพิ่มเป็น 43 แต้ม ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ส่วนเรอัล เบติสอยู่อันดับ 7 ยังมี 30 แต้มเท่าเดิม

Scoop : หลังม่านความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของ "บาส-ปอป้อ"

มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในวงการแบดมินตันของไทย เมื่อการแข่งขันแบดมินตัน 3 รายการใหญ่ในไทยที่ผ่านมา ฝ่าด่านไวรัสโควิด-19 แข่งขันเสร็จสิ้นประสบความสำเร็จไปด้วยดี

แต่ยังมีเรื่องที่ทำให้คนไทยยิ้มกว้างไปกว่านั้น คาสิโนออนไลน์ สเต็ปแตก คือ ความสำเร็จของ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่เหมาแชมป์ประเภทคู่ผสม 3 ศึกใหญ่ได้แบบเรียบวุธ ไม่ว่าจะเป็นศึกซูเปอร์ เวิลด์ทัวร์ 1000 รายการ “โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น” และ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น” ปิดท้ายด้วย "เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2020” เป็นการคว้าแชมป์ระดับ 1000 ครั้งแรกของทั้งคู่ และเป็นหนแรกของนักตบขนไก่ไทยได้แชมป์ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ มาครองอีกด้วย
ความสำเร็จของบาส-ปอป้อไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะพาไปดูหลังฉากการทำงานของทีม “เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมตัวช่วงระยะเวลา 9 เดือนที่ไม่มีการแข่งขัน

“โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอน บอกเล่าถึงการทำงานว่า ช่วงที่แบดมินตันแข่งขันไม่ได้เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมระยะเวลา 9 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดในการพัฒนาให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬากับนักกีฬาเพื่อนำไปต่อยอด ให้เค้ารู้และเข้าใจไปกับเรา มีการศึกษาแนวทางการเล่นของคู่ต่อสู้ จำลองสถานการณ์เกมให้คล้ายกับสถานการณ์ในสนามให้ได้มากที่สุด เพื่อลบจุดอ่อนและอัพเกรดจุดแข็ง ถือว่าเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาใช้ไปอย่างคุ้มค่ามาก

“เมื่อเรารู้ว่าจะไม่ได้แข่งอีกนาน ก็ต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ไขและพัฒนาจุดต่างๆ ที่แทบจะไม่ค่อยมีเวลาได้ทำ เพราะในช่วงเวลาปกติต้องออกทัวร์แข่งตลอด ถือว่าทั้งสองคนมีพัฒนาการที่ดีมากๆ ทั้งในเรื่องของร่างกายและเทคนิค เมื่อร่างกายดีก็สามารถควบคุมสมรรถนะในเรื่องเทคนิคและทักษะได้อย่างดีเยี่ยม ก่อนแข่งขันตั้งเป้าอยู่แล้วว่าจะต้องคว้าให้ได้ทั้ง 3 แชมป์ แม้ว่าตอนนั้นทีมจีนและญี่ปุ่นยังไม่ถอนตัว ก็ยังเชื่อมั่นว่าทำได้ เพราะการพัฒนาขึ้นมาของบาสกับปอป้อ”

จุดแข็งอีกอย่างที่โค้ชโอมชื่นชมคู่หูนักตบขนไก่ คือ ระเบียบวินัย ทั้งคู่รู้ดีว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร แม้ว่าช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ซึ่งเราจำเป็นต้องปรับรูปแบบการฝึกซ้อมให้สอดคล้องตามมาตรการป้องกันแพร่ระบาดของรัฐ โดยปล่อยนักกีฬากลับบ้านไม่สามารถพักที่แคมป์ของเอสซีจี อะคาเดมี่ได้ หลังจากมาตรการเริ่มผ่อนคลายทั้งคู่ก็ไม่เคยขาดซ้อม มาถึงก่อนเวลาเสมอ ซ้อมอย่างเต็มที่ แลกเปลี่ยนแนวทางกับโค้ชและทีมงานแบบเปิดเผย ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพอย่างมาก นอกจากนั้นหลังการฝึกซ้อมจะให้นักกีฬาทุกคนประเมินตัวเองในแต่ละวัน ประเมินโค้ชและทีมงาน เพื่อให้รู้ถึงจุดบกพร่องที่จะเอาไปแก้ไขในวันถัดไป ซึ่งโค้ชเองก็จะประเมินนักกีฬาเช่นกัน

ด้าน ศ.ดร.เจริญ กระบวนรัตน์ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์การกีฬา เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ กล่าวว่า ช่วง 9 เดือนถือเป็นโอกาสทอง เราทำงานกันอย่างหนัก มีทั้งภาคทฤษฎี ปฏิบัติ และเรื่องสภาพจิตใจ สิ่งสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่ประสบความสำเร็จ คือ ระเบียบวินัย การทำทุกอย่างตามโปรแกรมที่วางไว้อย่างเคร่งครัด

โดยโค้ชโอมจะเป็นคนวางแผนการเล่น อยากเสริมด้านไหนให้นักกีฬา เราก็จะกำหนดโปรแกรมการฝึกซ้อมตามนั้นเช่น วางแผนเล่นเร็ว เล่นลูกดาด เราก็จะวางโปรแกรมซ้อมเรื่องความเร็ว นอกจากนี้การปรับเรื่องการใช้พลังงานในการเล่น เป็นสิ่งที่นักกีฬาต้องได้รับการเรียนรู้ และเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ฟื้นสภาพร่างกายได้เร็วและประสบความสำเร็จ โดยการรักษาสมดุลการใช้พลังงานอย่างไรเวลาเหนื่อย ซึ่งจะเห็นว่า แม้จะแข่งขันเกือบทุกวัน และเล่น 3 เกมเกือบทุกแมตช์ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่มีอาการล้าให้เห็น

ศ.ดร.เจริญกล่าวอีกว่า การซ้อมของเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ จะไม่เน้นไปที่เวลาในการซ้อมที่ต้องนานหรือเยอะกว่าคนอื่น แต่เน้นที่คุณภาพและวัตถุประสงค์ของการฝึกซ้อมแต่ละครั้งเป็นหลักว่าตอบโจทย์และเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่ โดยให้ความสำคัญและคำนึงถึงสมรรถภาพทางกลไกของร่างกายกับความสมดุล ในการฝึกซ้อม ที่สำคัญจะต้องมีรูปแบบวิธีการฝึกซ้อมที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ใช่ไปเอารูปแบบการซ้อมของคนอื่นมาใช้กับนักกีฬา เปรียบเสมือนกับช่างที่ตัดเย็บเสื้อผ้าให้นักกีฬาสวมใส่ ต้องตัดเย็บและออกแบบให้เหมาะกับขนาดรูปร่างทรวงทรงของคนใส่ เพราะคนที่สวมใส่ คือ นักกีฬาของเรา ไม่ใช่ไปเที่ยวลอกเลียนแบบการฝึกของนักกีฬาคนอื่นที่เห็นว่าเก่งมาให้นักกีฬาตนเองทำการซ้อม ซึ่งมันไม่ใช่ตัวของเขาเอง และที่สำคัญต้องพัฒนาทักษะการคิด วิธีคิดที่มีเหตุผลและอยู่บนความเป็นจริง.. เช่น.ถ้าป้อ/บาส...อยากจะชนะหรือเป็นแชมป์โลกหรือเอาชนะคู่ปรับ จะต้องทำอย่างไร และที่ผ่านมาเราแพ้เขาเพราะอะไร เป็นต้น เพราะถ้าเราแบบเดิมๆหรือลอกเลียนคนอื่นมาซ้อมเราก็คงไม่มีทางที่จะเอาชนะได้

“เรื่องสำคัญที่ผมสอนนักกีฬาทุกคนอยู่เสมอ คือ เรื่องสมาธิและการควบคุมสภาพจิตใจซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราไม่เคยสร้างความกดดันด้วยการคาดหวังกับพวกเขาว่าต้องชนะเพราะนักกีฬาทุกคนจะมีความกดดัน สะสมตั้งแต่ก่อนลงสนาม และจะกดดันมากยิ่งในระหว่างเกมการแข่งขัน ผมจะบอกกับป้อและบาสเสมอว่า เกมกดดันไม่เป็นไร นั่นคือ ธรรมชาติของการแข่งขัน แต่เราจะต้องไม่กดดันตัวเอง ไม่ต้องคิดถึงผลการแข่งขัน ให้คิดถึงรูปแบบวิธีการเล่นที่ฝึกซ้อมวางแผนกันมา และให้มีสมาธิอยู่กับเกม คะแนนต่อคะแนน ไม่ชะล่าใจเมื่อนำไม่ท้อใจเมื่อเป็นฝ่ายไล่ตาม ไม่คำนึงถึงผลการแข่งขันที่ยังไม่เกิดขึ้นถ้ายังไม่จบเกม รับฟังโค้ชแนะนำระหว่างเกมการแข่งขัน เพราะผลการแข่งขันอยู่ที่วิธีการเล่น ไม่ได้อยู่ที่การคาดหวัง ที่สำคัญ คือ เราได้ใช้ทักษะความสามารถของเราที่ฝึกซ้อมมาอย่างเต็มที่และถึงที่สุดของความสามารถหรือไม่ในทุกๆครั้งเรามีโอกาสได้แสดงความสามารถในเกมการแข่งขัน

ผลงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เราก้าวข้ามตรงนั้นมาได้แล้ว ทั้งคู่สอบผ่านเรื่องสภาพจิตใจตัวเองได้แบบเหลือเชื่อ และทั้งโอม บาส ปอป้อ ที่ทำหน้าที่ของแต่ละคนเป็นทีมเวิร์กที่ดีมาก”
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ Enterprise Brand Management Office “เอสซีจี” กล่าวว่า ต้องขอชื่นชมนักกีฬา รวมทั้งทีมผู้ฝึกสอน ทีมวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่เสียสละทุ่มเทในการพัฒนาด้านต่างๆ สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ช่วยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ความภาคภูมิใจและความสุขให้คนไทยทั้งประเทศได้

“เอสซีจีเชื่อมั่นในตัวนักกีฬาไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก สามารถยืนเป็นหนึ่งในระดับโลกได้ หากมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ฝึกซ้อมและมีวินัยในตัวเองก็ต้องเป็นมืออาชีพด้วย ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แนวทางวิทยาศาสตร์การกีฬาควบคู่กับทักษะแบดมินตันที่ทำมาถูกต้อง แต่ต้องพัฒนาต่อไป ทีมงานยังต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะชาติอื่นก็ต้องแก้ไขและพัฒนาเพื่อเอาชนะเรา รวมถึงต้องมีการพัฒนานักกีฬารุ่นใหม่ๆ ให้มีความต่อเนื่องด้วย”
ขณะที่บาสและปอป้อกล่าวว่าความสำเร็จครั้งนี้เป็นความประทับใจที่สุดในชีวิตนักแบดมินตัน และมีผลมาจากการทำงานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา

“ยอมรับว่ามีความกดดัน และมีหลายครั้งที่สติหลุดระหว่างแข่งขันไปบ้าง แต่มีบาสที่คอยเตือนและให้กำลังใจ ทำให้กลับมาได้ถูกเวลา การต้องไปอยู่ในบับเบิ้ลก่อนและตลอดการแข่งขันไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอะไร เพราะไม่แตกต่างกับการอยู่ในแคมป์เอสซีจี เรียกว่าชินและถือเป็นเรื่องที่ดีในการเตรียมพร้อมแข่งขัน” ปอป้อกล่าว

บาสบอกว่า ฝันหลังจากนี้ของทั้งคู่ คือ การไปลุ้นเหรียญในโอลิมปิกเกมส์ เชื่อว่าโตเกียว 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่เลื่อนมาแข่งขันในปีนี้ จะไม่เลื่อนหรือยกเลิกแน่นอน เพราะเจ้าภาพก็อยากจัด นักกีฬาก็อยากแข่ง ที่ผ่านมาตัวเองยังไม่เคยไปโอลิมปิกมาก่อน แต่ปอป้อไปมาแล้ว ก็เล่าประสบการณ์และให้คำแนะนำมาหลายอย่าง
“หลังจากนี้ก็ยังคงต้องทำงานหนักกันต่อไป เพื่อประสบความสำเร็จตามความฝันและรายการอื่นๆ ที่ลงแข่งให้ได้” บาสกล่าว

ขณะที่โค้ชโอมทิ้งท้ายว่า ถึงแม้จะดูว่าบาส-ปอป้อ ตัวโค้ชและทีมงานเองประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว แต่ตัวเองกลับมองว่ายังเรียกว่าความสำเร็จไม่ได้ ยังมีงานอีกเยอะมากที่ต้องทำ มีเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยรู้ และจะต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น รวมทั้งสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ตามแนวทางที่ถูกต้องด้วย

Comments

Popular posts from this blog

เกม Inside ฟรีแค่ 24 ชั่วโมง ในเทศกาลส่งท้ายปี 2020 บน Epic Games Store

เริ่มให้สั่งซื้อแล้ว Gods Will Fall เกมแนว Action สายดาร์กแฟนตาซี

คัมแบ็คลีกอิตาลี! มิลาน ประกาศคว้าตัว "มานด์ซูคิช" ดาวยิงประสบการณ์สูงร่วมทัพ